การพัฒนาทางเทคโนโลยีเพื่อนการสื่อสาร

การพัฒนาทางเทคโนโลยีเพื่อนการสื่อสาร
การศึกษาระบบทางไกล

วันอาทิตย์ที่ 1 กันยายน พ.ศ. 2556

เเบบฝึกหัดท้ายหน่วยการเรียนรู้ที่  8

1.ให้นักเรียนตอบคำถามต่อไปนี้ โดยเขียนตามความเข้าใจของผู้เรียน

1.1 การนำเสนอผลงานมีวัตถุประสงค์อย่างไร
ตอบ  การนำเสนออาจมีความต้องการอย่างใดอย่างหนึ่ง  หรืออาจหลายอย่างเพื่อให้เกิดความเข้าใจ  เพื่อโน้มน้าวใจ  เพื่อให้พิจารณาผลงาน  เพื่อให้เห็นด้วย  ให้การสนับสนุน  หรืออนุมัติ

1.2 หลักการพื้นฐานสำคัญของการนำเสนอผลงานมีอะไรบ้าง

ตอบ  การนำเสนอจะต้องมีจุดมุ่งหมายที่อยู่บนพื้นฐานของหลักการ  ดังนี้

1.ต้องก่อประโยชน์ทั้งต่อฝ่ายผู้นำเสนอและผู้รับการนำเสนอ
2.ต้องคำนึงถึงผู้รับการนำเสนอเป็นหลัก
3.ต้องมีจุดมุ่งหมายที่มีความเป็นไปได้
4.ต้องไม่กำหนดจุดมุ่งหมายมากหลากหลายจนคลุมเครือ
5.ต้องกำหนดจุดมุ่งหมายให้สอดคล้องกับสถานการณ์

1.3 การบรรยายสดกับการพากย์มีข้อพิจารณาในการเลือกใช้ต่างกันอย่างไร
ตอบ 1. การบรรยายสด เหมาะสำหรับการประชุมหรือสัมมนาที่ต้องการให้ผู้ชมมีส่วนร่วม เพราะผู้บรรยายในกรณีนี้เป็นผู้ที่รู้เรื่องราวเกี่ยวกับเนื้อหาเป็นอย่างดีรู้ว่าควรจะเน้นตรงจุดใดและปฏิกิริยาจากผู้ชมทำให้ผู้บรรยายรู้ว่าผู้ชมสามารถติดตามทำความเข้าใจได้เพียงพอหรือไม่รู้ว่าส่วนไหนจะต้องอธิบายขยายความมากน้อยเพียงใด
2. การพากย์ เหมาะสำหรับเนื้อหาที่สามารถถ่ายทอดได้โดยไม่ต้องอาศัยการมีส่วนร่วมของผู้ชม ข้อดีคือสามารถเลือกใช้เสียงพากย์ที่มีความไพเราะน่าฟัง สามารถเลือกใช้ดนตรี หรือเสียงประกอบ (Sound effect) เพื่อสร้างบรรยากาศ แต่ข้อเสียคือไม่มีความยืดหยุ่น ไม่สามารถปรับให้เหมาะสมกับความรู้สึกของผู้ชมในขณะนั้น

1.4 เครื่องมือที่ใช้ในการนำเสนอผลงานที่ใช้ในปัจจุบันมีอะไรบ้าง
ตอบ 1. โพรเจกเตอร์ (Projector) เป็นอุปกรณ์ฉายภาพที่ใช้ในการนำเสนอ โดยสามารถรองรับสัญญาณภาพจากคอมพิวเตอร์ เครื่องเล่นวีซีดี เครื่องเล่นดีวีดี และเครื่องกำเนิดภาพอื่น ๆ แล้วแสดงผล ขยายขนาดบนจอรับภาพช่วยให้มองเห็นได้ไกลขึ้น เหมาะสำหรับการนำเสนอข้อมูลในห้องประชุม เพื่อให้ผู้เข้าร่วมประชุมสามารถมองเห็นภาพหรือข้อความได้อย่างชัดเจน
2. วิชวลไลเซอร์ (Visualizer) เป็นอุปกรณ์ฉายภาพระบบดิจิทัลประเภทหนึ่ง ซึ่งพัฒนามาจากโอเวอร์เฮดหรือเครื่องฉายข้ามศีรษะ ใช้แสดงภาพวัตถุและเอกสารสู่จอรับภาพที่มีอยู่จริงได้เลย โดยไม่ต้องดัดแปลง อุปกรณ์นี้เหมาะสำหรับใช้ในการนำเสนองานต่าง ๆ โดยเฉพาะครู-อาจารย์ที่สอนหนังสือ และใช้ได้ดีในการนำเสนอภาพนิ่งมากกว่าภาพเคลื่อนไหว แต่ภาพที่แสดงออกมานั้นก็ให้ความคมชัด มีสีสดใส และมีโหมดของการแสดงภาพให้ปรับการทำงานด้วย การควบคุมการทำงานสามารถทำได้โดยใช้รีโมต
3. กล้องถ่ายรูปดิจิทัล (Digital Camera) เป็นอุปกรณ์รับภาพที่เปลี่ยนจากฟิล์มมาเป็นอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ ซึ่งเมื่อถ่ายรูปที่ต้องการแล้ว รูปจะถูกเก็บลงในหน่วยความจำ (memory) ที่อยู่ในกล้อง เมื่อต้องการดูรูปทำได้โดยการถ่ายข้อมูลจากหน่วยความจำลงบนเครื่องพิมพ์หรือเครื่องคอมพิวเตอร์ ภาพที่ได้จะมีขนาดตามที่ต้องการ สามารถย่อหรือขยาย ปรับแสงหรือเงาแล้วแต่ความพอใจหรือจะเพิ่มรูปแบบก็สามารถทำได้ และเมื่อจะถ่ายใหม่ ก็สามารถใช้หน่วยความจำเดิมได้เลย โดยไม่ต้องเสียเงินซื้อฟิล์ม
4. กล้องถ่ายวีดิทัศน์ดิจิทัล เป็นอุปกรณ์รับภาพที่บันทึกข้อมูล ภาพนิ่ง ภาพเคลื่อนไหว และเสียง เก็บไว้ในหน่วยความจำแบบแฟลชภายในกล้อง สามารถย่อหรือขยาย ปรับแสงเงาของภาพได้ และในปัจจุบันสามารถคัดลอกข้อมูลลงในแผ่นดีวีดีได้เลย โดยไม่ต้องโอนลงในเครื่องคอมพิวเตอร์
5. คอมพิวเตอร์ตั้งโต๊ะและคอมพิวเตอร์ขนาดสมุดบันทึกหรือโน้ตบุ๊ก เป็นอุปกรณ์ที่ใช้สร้างงานนำเสนอ เป็นสื่อกลางในการเชื่อมโยงอุปกรณ์อื่น ๆ เช่น โพรเจกเตอร์ เพื่อนำเสนองาน และใช้นำเสนองานผ่านจอภาพของเครื่องคอมพิวเตอร์
6. เครื่องเล่นเสียง หรือเครื่องเล่นเอ็มพีสาม (MP3) เป็นอุปกรณ์ซึ่งบรรจุข้อมูลเสียงที่ใช้เล่นในคอมพิวเตอร์และสามารถถ่ายโอนข้อมูลเข้าไปในคอมพิวเตอร์ได้ โดยข้อมูลเสียงนั้นใช้เทคโนโลยีบีบอัดให้มีขนาดเล็กลงมากกว่าข้อมูลเสียงปกติถึง 12 เท่า แม้ขนาดข้อมูลจะเล็กลง แต่คุณภาพเสียงไม่ได้เสียไป อย่างไรก็ตาม หากเรานำข้อมูลเสียงจากเครื่องเล่น MP3 ไปเล่นในเครื่องคอมพิวเตอร์รุ่นเก่า จะได้เสียงในลักษณะกระตุกหรือใช้การไม่ได้เลย
7. โทรศัพท์เคลื่อนที่บางรุ่น เป็นอุปกรณ์ตัวกลางที่ผู้ใช้สามารถนำเสนองานที่สร้างด้วยซอฟต์แวร์ไมโครซอฟต์เพาเวอร์พอยต์ผ่านเครื่องโพรเจกเตอร์ได้สะดวก ง่ายต่อการติดตั้ง เพียงเชื่อมต่อโพรเจกเตอร์เข้ากับโทรศัพท์เคลื่อนที่ผ่านสายเคเบิล แล้วเชื่อมต่อโทรศัพท์เคลื่อนที่ด้วยบลูทูธ

1.5 รูปแบบที่ใช้ในการนำเสนอผลงานที่ใช้ในปัจจุบันมีอะไรบ้าง
ตอบ 1.  การนำเสนอแบบ Web page เป็นรูปแบบการนำเสนอที่ใช้บนอินเทอร์เน็ต การนำเสนอแบบนี้สามารถสร้างการเชื่อมโยงที่สลับซับซ้อนระหว่างส่วนต่าง ๆ ตลอดจน สามารถสร้างการเชื่อมโยงเอกสารที่ต่างรูปแบบกันได้แต่ต้องใช้เวลาในการจัดทำมากกว่า รูปแบบอื่นและผู้จัดทำต้องมีความรู้ความชำนาญในโปรแกรมที่ใช้สร้างเว็บเพจ
2.  การนำเสนอแบบ Slide Presentation เป็นการนำเสนอโดยใช้โปรแกรมนำเสนอ ซึ่งเป็นโปรแกรม ที่ใช้ง่ายมากมีรูปแบบการนำเสนอให้เลือกใช้หลายแบบ สามารถเรียกใช้ตาราง แผนภูมิ หรือรูปภาพประกอบ และตกแต่งด้วยสีสัน ทั้งสีพื้น สีของตัวอักษร รูปแบบฟอนต์ ของตัวอักษรได้ง่ายและสะดวก ในปัจจุบันสื่อนำเสนอรูปแบบ Slide Presentationหรือ สไลด์ดิจิทัล มักจะสร้างด้วยโปรแกรมในกลุ่ม Presentation เช่น Microsoft PowerPoint, OfficeTLE Impress เทคนิคการออกแบบสื่อนำเสนอ สื่อนำเสนอที่ดี ความมีความโดดเด่น น่าสนใจ จะเน้นความคิด “ หนึ่งสไลด์ต่อ หนึ่งความคิด ” มีการสรุปประเด็น
เเบบฝึกหัดท้ายหน่วยการเรียนรู้ที่  7

1.จงอธิบายเครือข่ายคอมพิวเตอร์แบบต่างๆว่ามีกี่ประเภท
ตอบ 4ประเภท
1.อินทราเน็ต
2.เอ็กซ์ตราเน็ต
3.อินเตอร์เน็ต
4.รูปแบบของข้อมูลในเครือข่ายของคอมพิวเตอร์ประเภทต่างๆ

2.อินทราเน็ต(Intranet) หมายความว่าอย่างไร
ตอบ เป็นเครือข่ายสำหรับองค์กรหนึ่งๆข้อมูลส่วนใหญ่จะเป็นข้อมูลเกี่ยวกับองค์กร หรือข้อมูลเพื่อการใช้ประโยชน์องค์กร

3.จงยกตัวอย่างแหล่งข้อมูลการสืบค้นบนเครือข่ายอินเตอร์เน็ต
ตอบ 1. http://www.google.co.th/

4.จงอธิบายวิธีการสืบค้นข้อมูลจากเว็บไซต์ Google พอสังเขป
ตอบ ให้พิมพ์คำที่เกี่ยวข้องกับสิ่งที่ต้องการหาเพียง2-3คำลงไปแล้วกดแป้น Enter หรือคลิกที่ปุ่มGoบนหน้าจอ Googleก็จะแสดงเว็บเพจที่ค้นหา

5.Digital Library หมายความว่าอย่างไร
ตอบ Digital Library (ห้องสมุดอิเล็กทรอนิกส์)หมายถึงการจัดสารสนเทศในรูปแบบของสื่ออิเล็กทรอนิกส์แทนที่จะจัดเก็บในรูปของสื่อพิมพ์

6.จงยกตัวอย่างแหล่งข้อมูลเว็บไซต์ประเภทการศึกษา
เเบบฝึกหัดท้ายหน่วยการเรียนรู้ที่  6

1.อินเตอร์เน็ต(Internet)หมายความว่าอย่างไร
ตอบ หมายถึงเครือข่ายนานาชาติหรือเครือข่ายสากล คือเครือข่ายคอมพิวเตอร์ขนาดใหญ่ที่เชื่อมโยงเครือข่ายคอมพิวเตอร์ทั่วโลกเข้าด้วยกัน

2.จงอธิบายความสำคัญของอินเตอร์เน็ตทางด้านการศึกษาว่ามีอะไรบ้าง
ตอบ 1.สามารถใช้เป็นแหล่งค้นคว้าหาข้อมูล
2.ทำหน้าที่เปรียบเสมือนห้องสมุดขนาดใหญ่
3.นักศึกษาสามารถใช้อินเตอร์เน็ตติดต่อกับมหาลัยหรือโรงเรียนอื่นๆเพื่อค้นหาข้อมูลที่กำลังศึกษาอยู่ได้

3.จงบอกประโยชน์ของอินเตอร์เน็ตที่ใช้ในชีวิตประจำวัน
ตอบ 1.ใช้แลกเปลี่ยนข้อมูลข่าวสาร สะดวกและรวดเร็ว
2.ใช้สืบค้นข้อมูลจากแหล่งข้อมูลต่างๆทั่วโลกได้
3.ใช้แลกเปลี่ยนข้อมูลกับเครื่องคอมพิวเตอร์ต่างระบบได้
4.สามารถส่งข้อมูลได้หลายรูปแบบ
5.ให้ความบันเทิง เช่น ฟังเพลง เล่นเกมส์
6.ใช้สื่อสารข้อความโดยการพิมพ์โต้ตอบ
7.ใช้ส่งจดหมายอิเล็กทรอนิกส์
8.ซื้อสินค้าและบริการ

4.การติดต่อโดยใช้สายโทรศัพท์ผ่านอุปกรณ์ Modem หมายความว่าอย่างไร
ตอบ เชื่อมต่อระหว่างคอมพิวเตอร์กับคู่สายโทรศัพท์ โดยการแปลงสัญญาณดิจิตอลของคอมพิวเตอร์ให้เป็นสัญญาณอนาล็อก แล้วส่งไปตามสายโทรศัพท์  และเปลี่ยนจากสัญญาณอนาล็อก ที่ได้จากสายโทรศัพท์ให้กลับไปเป็นสัญญาณดิจิตอล เพื่อส่งต่อไปยัง เครื่องคอมพิวเตอร์ อีกครั้ง
 
5.ระบบเครือข่ายอินเตอร์เน็ต www มีประโยชน์อย่างไร
ตอบ เป็นบริการระบบข่าวสารที่มีข้อมูลอยู่ทุกแห่งในโลกข้อมูลเหล่านี้เชื่อมโยงกันเป็นระบบสามารถสืบค้นได้ง่าย

6.จงยกตัวอย่างประโยชน์ของ E-mail
ตอบ ประโยชน์ของ Email 
1. ใช้ในการติดต่อสื่อสาร
2. ง่ายต่อการบริหารจัดการขององค์การ
3. สะดวกในการนำข้อมูลมาใช้
4. ประชาสัมพันธ์องค์การให้หน่วยงานอื่นได้ทราบ
5. ประหยัดค่าใช้จ่ายขององค์การ

เเบบฝึกหัดท้ายหน่วยการเรียนรู้ที่  5

1.ระบบเครือข่ายคอมพิวเตอร์  หมายความว่าอย่างไร
ตอบ : สำนักงานหรือองค์กรนั้นมีขนาดใหญ่ขึ้นเริ่มมีการใช้คอมพิวเตอร์หลายรูปแบบ  เพื่อลดความ
ซ่ำซ้อนของข้อมูลและสะดวกในการใช้งานการเชื่อมโยงคอมพิวเตอร์ที่ใช้ทำงานเข้าหากัน 

2.ระบบเครือข่ายคอมพิวเตอร์มีประโยชน์อย่างไร
ตอบ : ทำให้เกิดการสื่อสารข้อมูลระหว่างคอมพิวเตอร์ที่รวดเร็วขึ้น  ทำให้คอมพิวเตอร์หลายเครื่องที่ต่อเชื่อมเครือข่ายกันนั้นสามารถทำงานร่วมกันได้อย่างประสิทธิภาพ

3.ระบบเครือข่ายในบริเวณเฉพาะที่หมายความว่าอย่างไร
ตอบ  :  การเชื่อมต่อเครือข่ายให้ประโยชน์ในด้านการใช้ข้อมูลร่วมกัน  โดยเฉพาะอย่างยิ่งการใช้ข้อมูลในฐานข้อมูลเดียวกันทำให้ได้ข้อมูลที่ถูกต้องและเป็นปัจจุบันมากที่สุด  และยังให้ประโยชน์ในการใช้ทรัพยากรร่วมกัน

4.ระบบเครือข่ายอินเตอร์เน็ตหมายความอย่างไร
ตอบ  :  เป็นระบบใหญ่ที่มีการเชื่อมต่อกันทั่วโลกผลประโยชน์และผลกระทบจึงมีกว้างไกลมาก  สิ่งที่เรารู้จักและนำมาใช้ประโยชน์ทุกวันนี้เป็นเพียงจุดเริ่มต้นเท่านั้น   ยังมีการพัฒนาอย่างต่อเนื่องซึ่งจะนำมาซึ่งสิ่งใหม่ๆ  อีกมากมาย

5.ระบบเครือข่ายร่วมปฏิบัติการหมายความว่าอย่างไร
ตอบ :  เป็นระบบเครือข่ายที่ทำให้เกิดการรวมพลังของคอมพิวเตอร์เครือข่ายมาทำงานร่วมกัน

6.ระบบเครือข่ายคอมพิวเตอร์มีกี่ประเภทอะไรบ้างตอบ  :  3  ประเภทใหญ่ๆ  ดังนี้
1.เครือข่ายแลนหรือเครือข่ายบริเวณเฉพาะที่
2.เครือข่ายแมนหรือเครือข่ายบริเวณนครหลวง
3.เครือข่ายแวนหรือเครือข่ายบริเวณกว้าง

7.รูปแบบเครือข่ายคอมพิวเตอร์มีกี่รูปแบบอะไรบ้าง
ตอบ :  มีองค์ประกอบหลัก 2  ส่วน  ดังนี้
1.ฮาร์แวร์หรือส่วนเครือข่ายเชิงกายภาพ
2.ซอฟต์แวร์หรือส่วนการจัดการเชิงตรรกะ

เเบบฝึกหัดท้ายหน่วยการเรียนรู้ที่  4

1.ซอฟต์แวร์คืออะไร  และทำหน้าที่อย่างไร
ตอบ :  ชุดคำสั่งที่สั่งงานคอมพิวเตอร์อย่างเป็นลำดับขั้น  ชุดคำสั่งเหล่านี้จะจัดเตรียมไว้ในหน่วยความจำ   คอมพิวเตอร์จะอ่านชุดคำสั่งแล้วทำงานตามโปรแกรมที่นักเขียนโปรแกรมได้เขียนไว้ 
ทำหน้าที่  เป็นตัวเชื่อมระหว่างผู้ใช้คอมพิวเตอร์และเครื่องคอมพิวเตอร์

2.ซอฟต์แวร์มีกี่ประเภทอะไรบ้าง
ตอบ  :  ซอฟต์แวร์แบ่งได้ 2 ประเภทใหญ่ๆ  คือ
1.ซอฟต์แวร์ระบบ
2.ซอฟต์แวร์ประยุกต์

3.วอฟต์แวร์ระบบคืออะไร
ตอบ  :  ซอฟต์แวร์ระบบเป็นโปรแกรมที่บริษัทผู้ผลิตสร้างขึ้นมาเพื่อใช้จัดการระบบ  หน้าที่การทำงานของซอฟต์แวร์ระบบ คือ การดำเนินงานพื้นฐานต่างๆ  ของระบบคอมพิวเตอร์

4.ซอฟต์แวร์ประยุกต์คืออะไร
ตอบ :  เป็นโปรแกรมที่ออกแบบมาเพื่อการใช้งานเฉพาะเรื่องตามที่เราต้องการ  เช่น งานพิมพ์เอกสาร
งานพิมพ์รายงาน  วาดภาพ  เล่นเกมส์   หรือโปรแกรมระบบบัญชีรายรับรายจ่าย                                        และเงินเดือน   เป็นต้น

5.ซอฟต์แวร์เฉพาะงานคืออะไร
ตอบ  :  เป็นโปรแกรมที่ทำหน้าที่ช่วยในการทำงานของระบบคอมพิวเตอร์ในหน้าที่เฉพาะด้านบางอย่าง
เช่น  การตรวจหาและกำจัดไวรัสคอมพิวเตอร์  การจัดเรียงข้อมูลในฮาร์ดิสก์    เป็นต้น

6.ซอฟต์แวร์มีความสำคัญและจำเป็นต่องานคอมพิวเตอร์อย่างไร
ตอบ :  โปรแกรมที่ใช้สั่งงานคอมพิวเตอร์จึงเป็นซอฟต์แวร์สำคัญที่ทำให้คอมพิวเตอร์แต่ละเครื่องทำงานแตกต่างๆกันได้มากมาย   การที่คอมพิวเตอร์สามารถทำงานได้มากมาย   เพราะว่ามีการพัฒนาโปรแกรมหรือซอฟต์แวร์เพื่อสั่งงานคอมพิวเตอร์ตามความถูกต้องของผู้ใช้งาน

7.ซอฟต์แวร์และภาษาคอมพิวเตอร์เกี่ยวข้องกันอย่างไร
ตอบ :  เราใช้คอมพิวเตอร์ทำงานในการจัดการสารสนเทศเรื่องต่างๆ  ได้อย่างถูกต้องแม่นยำโดยการกำหนดวิธีการหรือขั้นตอนให้คอมพิวเตอร์ทำงานได้ตามความต้องการ  จำเป็นต้องมีสื่อกลางที่ใช้ในการติดต่อซึ่งกันและกันระหว่างมนุษย์กับคอมพิวเตอร์  เราเรียกภาษาสื่อกลางนี้ว่าภาษาคอมพิวเตอร์

8.ระบบปฏิบัติการคืออะไร   ทำหน้าที่อะไร
ตอบ  :  เป็นซอฟต์แวร์ที่ควบคุมกิจกรรมทั้งหมดของคอมพิวเตอร์   เพื่อให้มั่นใจว่าอุปกรณ์ที่เป็นฮาร์ดแวร์ทุกส่วนของระบบคอมพิวเตอร์ทำงานร่วมกันได้อย่างราบรื่นและมีประสิทธิภาพ
หน้าที่ของระบบปฏิบัติการ คือ  อำนวยความสะดวกแก่ผู้ใช้เครื่องคอมพิวเตอร์ในลักษณะผู้ใช้ไม่จำเป็นต้องทราบกลไกการทำงานหรือฮาร์ดแวร์ของระบบ
หน้าที่ของระบบปฏิบัติการมี  ดังนี้
-ติดต่อกับผู้ใช้
-ควบคุมการทำงานของโปรแกรม  และอุปกรณ์รับ/แสดงผลข้อมูล
-จัดสรรให้ใช้ทรัพยากรระบบร่วมกัน
เเบบฝึกหัดท้ายหน่วยการเรียนรู้ที่  3


1.คอมพิวเตอร์หมายถึงอะไร  และมีปรโยชน์อย่างไร
ตอบ : คอมพิวเตอร์เป็นเครื่องมือหรืออุปกรณ์ประเภทอิเล็กทรอนิกส์ที่ทำงานด้วยคำสั่ง  ชุดคำสั่ง หรือ
โปรแกรมต่างๆ  สามารถเชื่อมต่อกันเป็นเครือข่ายได้หลายแบบ  รวมทั้งเครือข่ายอินเตอร์เน็ตด้วยลักษณะเด่นของคอมพิวเตอร์คือมีศักยภาพสูงในการคำนวณประมวลผลข้อมูลทั้งที่เป็นตัวเลข  รูปภาพ
ตัวอักษร  และเสียง  ทำให้คอมพิวเตอร์เป็นเครื่องมือที่สามารถนำมาประยุกต์ใช้กับงานได้อย่างกว้างขวาง
ประโยชน์ของคอมพิวเตอร์  สามารถแบ่งได้ดังนี้
1.มีความเร็วในการทำงานสูง
2.มีประสิทธิภาพในการทำงานสูง
3.มีความถูกต้องแม่นยำตามโปรแกรมที่สั่งงานและข้อมูลที่ใช้
4.เก็บข้อมูลได้มาก  ไม่ต้องใช้เอกสารและตู้เก็บ
5.สามารถโยนย้ายข้อมูลจากเครื่องหนึ่งไปอีกเครื่องหนึ่งโดยผ่านระบบเครือข่ายได้อย่างรวดเร็ว  ช่วยอำนวยความสะดวกในการใช้งาน

2.คอมพิวเตอร์มีทีมาอย่างไร
ตอบ  :  เครื่องคอมพิวเตอร์ที่ใช้งานในปัจจุบัน  เป็นอุปกรณ์ที่ได้รับการพัฒนามาอย่างต่อเนื่องมาหลายร้อยปี  เริ่มจากการสร้างอุปกรณ์ที่ไม่มีกลไกซับซ้อน  จนกลายเป็นเครื่องคอมพิวเตอร์มีศักยภาพสูงที่นำมาใช้งานในชีวิตประจำวันในขณะนี้  เพื่อนำมาช่วยงานในการคำนวณประมวลผล  และสามารถนำไปใช้ในการควบคุมการผลิตงานทางด้านอุตสาหกรรมในโรงงานต่างๆ

3.ส่วนประกอบสำคัญของคอมพิวเตอร์ได้แก่อะไรบ้าง
ตอบ  :  ส่วนสำคัญ  5  ส่วนคือ
1.หน่วยรับข้อมูลเข้า
2.หน่วยประมวลผลกลาง
3.หน่วยความจำ
4.หน่วยแสดงผล
5.อุปกรณ์ต่อพ่วงอื่นๆ

4.ระบบคอมพิวเตอร์หมายถึงอะไร  ส่วนประกอบที่สำคัญของระบบคอมพิวเตอร์ได้แก่อะไร
ตอบ :  กรรมวิธีคอมพิวเตอร์ทำการใดๆ  กับข้อมูลให้อยู่ในรูปแบบที่เป็นประโยชน์ตามความประสงค์ของผู้ใช้งานมากที่สุด
ส่วนประกอบสำคัญ  4 ส่วน  ดังนี้
1.ฮาร์ดแวร์ หรือส่วนเครื่อง
2.ซอฟต์แวร์ หรือส่วนชุดคำสั่ง
3.ข้อมูล
4.บุคลากร

5.ฮาร์ดแวร์ หมายถึงอะไร   ส่วนประกอบที่สำคัญของฮาร์ดแวร์ได้แก่อะไร
ตอบ :  ตัวเครื่องและอุปกรณ์ส่วนต่างๆ ที่เราสามารถสัมผัสและจับต้องได้
จะประกอบด้วยส่วนสำคัญ  4 ส่วน  ดังนี้
1.ส่วนประมวลผล
2.ส่วนความจำ
3.อุปกรณ์รับเข้าและส่งออก
4.อุปกรณ์หน่วยเก็บข้อมูล

6.ส่วนประกอบใดของอุปกรณ์ฮาร์ดแวร์ที่มีหน้าที่หลักในการควบคุมการทำงานของคอมพิวเตอร์เปรียบเหมือนส่วนสมองของระบบคอมพิวเตอร์
ตอบ :  หน่วยประมวลผลกลาง  หรือเรียกคำย่อว่า  ซีพียู  (CPU)

7.หน่วยคอมพิวเตอร์แบบแรม (RAM)และแบบรอม (ROM) ของหน่วยความจำหลักแตกต่างกันอย่างไร
ตอบ :  หน่วยความจำแรมเป็นหน่วยความจำที่ต้องอาศัยกระแสไฟฟ้าเพื่อรักษาข้อมูล   ข้อมูลหรือแฟ้มข้อมูลจะถูกจัดเก็บไว้ชั่วคราวขณะทำงาน   จะอยู่ได้นานจนกว่าจะปิดเครื่องคอมพิวเตอร์
ส่วนรอมเป็นหน่วยความจำที่ใช้ในการเก็บโปรแกรมหรือข้อมูลพื้นฐานที่เกี่ยวกับเครื่องคอมพิวเตอร์  ข้อมูลที่ถาวรไม่ขึ้นอยู่กับไฟฟ้าที่ป้อนให้กับวงจร

8.จานบันทึกข้อมูล (Hard  Disk)ประกอบด้วยอะไรทำหน้าที่อย่างไร
ตอบ :  ประกอบด้วยแผ่นจานแม่เหล็กตั้งแต่หนึ่งแผ่นจนถึงหลายแผ่น  และเครื่องขับจาน  เป็นส่วนอุปกรณ์ฮาร์ดแวร์  มีมอเตอร์ทำหน้าที่หมุนแผ่นจานแม่เหล็กด้วยความเร็วสูง  มีหัวแม่เหล็กทำหน้าที่อ่านและเขียนข้อมูลต่างๆ ลงบนผิวของแผ่นดังกล่าวตามคำสั่งของโปรแกรมหรือผู้ปฏิบัติงานต้องการโดยหัวอ่านและเขียนไม่ได้สัมผัสแผ่นโดยตรงแต่เคลื่อนที่ผ่านแผ่นไปเท่านั้น

9.บอกความหมายของคำต่อไปนี้เมกะไบต์ (Megabyte) กิกะไบต์  (Gigabit)  พิกเซล (Pixel)                       จิกะเฮิร์ซ (GHz)
ตอบ  :   เมกะไบต์  คือ  หน่วยวัดปริมาณสารสนเทศหรือความจุของหน่วยเก็บ (storage)ในคอมพิวเตอร์มีค่าเท่ากับหนึ่งล้านไบต์
กิกะไบต์  คือ เป็นหน่วยวัดขนาดในข้อมูลคอมพิวเตอร์  เช่น  ใช้เป็นหน่วยวัดความจุของหน่วยความจำหรือฮาร์ดดิส
พิกเซล  คือ  เป็นหน่วยพื้นฐานของภาพ  คือจุดภาพบนจอแสดงผล หรือจุดภาพที่รวมกันเป็นภาพขึ้น
จิกะเฮิร์ต  คือ  สัญญาณที่มีความเร็ว 1 ล้านรอบใน 1 วินาที และมีแวโน้มที่สามารถพัฒนาให้มีความเร็วมากขึ้นเรื่อยๆ

10.จอภาพ  แป้นพิมพ์   และเมาส์  ทำหน้าที่อย่างไรในเครื่องคอมพิวเตอร์
ตอบ  :  จอภาพ    แสดงข้อมูลผลลัพธ์ที่เกิดจากการประมวลผลจากเครื่องคอมพิวเตอร์   สามารถแสดงผลได้ทั้งตัวหนังสือ   ภาพนิ่ง   และภาพเคลื่อนไหว   เป็นต้น
เเบบฝึกหัดท้ายหน่วยการเรียนรู้ที่ 2


1.คำว่า  "ระบบ"  และวิธีการเชิงระบบ หมายถึงอะไร
ตอบ  :  ระบบ  หมายถึง  การทำงานขององค์ประกอบย่อยๆ อย่างอิสระแต่มีปฏิสัมพันธ์ซึ่งกันและกันจนกลายเป็นโครงสร้างที่สมบูรณ์ของแต่ล่ะงาน  สามารถตรวจสอบและปรับปรุงแก้ไขได้ทุกขั้นตอน
ระบบจึงเป็นหัวใจสำคัญของงานหรือการดำเนินงานทุกประเภท
วิธีเชิงระบบ  หมายถึง  เป็นกระบวนการคิดหรือการทำงานอย่างมีแบบแผนชัดเจนในการนำเนื้อหาความรู้ด้านต่างๆ  ซึ่งจะอาจเป็นวิธีการหรือผลผลิตมาประยุกต์ใช้อย่างเป็นขั้นตอน  เพื่อให้การดำเนินงานบรรลุวัตถุประสงค์อย่างมีประสิทธิภาพ  นอกจากนี้วิธีระบบยังเป็นการช่วยป้องกันและแก้ไขข้อบกพร่องที่เกิดขึ้นด้วย

2.องค์ประกอบสำคัญของวิธีระบบได้แก่อะไร
ตอบ : มี  3  ประการ  ได้แก่
1.ปัจจัยนำเข้า ( Input)
2.กระบวนการ  (Process)
3.ผลลัพธ์  (Output)

3.ระบบสารสนเทศ หมายถึงอะไร
ตอบ  :  คือ การประมวลผลข้อมูลข่าวสารอย่างเป็นขั้นตอนและเป็นกระบวนการเพื่อให้ข้อมูลในรูปของข่าวสารที่เป็นประโยชน์สูงสุด  และเป็นข้อสรุปที่สามารถนำไปใช้สนับสนุนการบริหาร  และการตัดสินใจ
ทั้งในระดับปฏิบัติการ  ระดับกลาง  และระดับสูง   ระบบสารสนเทศจึงเป็นระบบที่จัดตั้งขึ้น  เพื่อปฏิบัติการเกี่ยวกับข้อมูล

4.องค์ประกอบหลักของระบบสารสนเทศ  ได้แก่อะไร
ตอบ :  องค์ประกอบหลัก 2 ส่วน ได้แก่
ระบบความคิด     ระบบเครื่องมือ

5.สารสนเทศด้านจุดมุ่งหมาย  ด้านขั้นตอน  และสารสนเทศทั่วไปแต่ละด้านประกอบด้วยอะไร
ตอบ :   ด้านจุดมุ่งหมาย  มี  4  ประการ  ได้แก่
-ข้อมูล  - สารสนเทศ    -ความรู้    -ปัญหา
ด้าสารสนเทศทั่วไปมี  5  องค์ประกอบ  ดังนี้
-ข้อมูลคอมพิวเตอร์และเครือข่ายสื่อสารข้อมูล
-ข้อมูล
-สารสนเทศ
-โปรแกรมหรือซอฟแวร์
-บุคคลากรทางคอมพิวเตอร์

6.โดยทั่วไปการจัดระบบสารสนเทศมีขั้นตอนการจัดการอย่างไร
ตอบ  : ประกอบด้วย 3  ขั้นตอน  ดงนี้
ขั้นตอนที่1  การวิเคราห์ระบบ
ขั้นตอนที่2  การสังเคราะห์ระบบ
ขั้นตอนที่3  การสร้างแบบจำลอง

7.ระบบสารสนเทศระดับบุคคล  ระดับกลุ่ม   กันระดับองค์กรแตกต่างกันอย่างไร
ตอบ :  ระดับบุคคล  คือ  ระบบที่เสริมประสิทธิภาพและเพิ่มผลงานให้แต่ละบุคคลในหน้าที่รับผิดชอบ
ระดับกลุ่ม  คือ  ระบบสารสนเทศที่เสริมสร้างการทำงานของกลุ่มบุคคลที่มีเป้าหมายการทำงานร่วมกันให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น
ระดับองค์กร  คือ  ระบบสารสนเทศที่สนับสนุนการดำเนินงานขององค์กรในภาพรวม  เพื่ออำนวยความสะดวกในการปฏิบัติงานร่วมกันของหลายแผนก

8.ข้อมูลและความรู้คืออะไร  มีความสำคัญกับสารสนเทศอย่างไร
ตอบ  :  ข้อมูล  คือ  ข้อเท็จจริงที่ปรากฏให้เห็นเป็นประจักษ์สามารถรับรู้ได้ด้วยประสาทสัมผัสทั้งห้าทั้งที่สามารถนับได้และนับไม่ได้  มีคุณลักษณะเป็นวัตถุสิ่งของ  เหตุการณ์หรือสถานการณ์  ทั้งที่เกิดขึ้นเองตามธรรมชาติและเป็นสิ่งที่มนุษย์สร้างขึ้น  และต้องเป็นสิ่งมีความหมายในตัวมันเอง
ความรู้  คือ  เป็นสภาวะทางสติปัญญาของมนุษย์ในการตีความสิ่งเร้าทั้งที่อยู่ภายในและภายนอกด้วยความเข้าใจสาระของเนื้อหา  กระบวนการ  และขั้นตอน  อาจอยู่ในรูปของข้อมูลดิบหรือสารสนเทศระดับต่างๆหรืออาจอยู่ในรูปของอารมณ์ความรู้สึกและเหตุผล   คุณสมบัติของความรู้อาจได้ทั้งประโยชน์และโทษต่อตนเอง  สังคม   และสิ่งแวดล้อม
เกี่ยวข้องคือเป็นปัจจัยหนึ่งของระบบสารสนเทศ

9.การประมวลผลข้อมูลให้เป็นสารสนเทศมีขั้นตอนอย่างไร
ตอบ : 1.ขั้นตอนการประมวลผลข้อมูล
1.1การรวบรวมข้อมูล
1.2การบำรุงรักษาและประมวลผลข้อมูล
1.3การจัดการข้อมูล
1.4การควบคุมข้อมูล
1.5การสร้างสารสนเทศ
           2.วิธีการเก็บข้อมูล
2.1การสำรวจด้วยแบบสอบถาม
2.2การสัมภาษณ์ผู้ที่เกี่ยวข้อง
2.3การนับจำนวนหรือวัดขนาดของตนเอง

10.จงกล่าวถึงเครือข่ายการสื่อสารข้อมูลที่มีขนาดพื้นที่และจำนวนเครื่องที่ใช้งานแตกต่างกัน
ตอบ :  นิยมแบ่งเครือข่ายตามขนาดพื้นที่และจำนวนเครื่องที่ใช้งานได้แก่
1.แลน  คือ  เครือข่ายบริเวณเฉพาะที่
2.แวน  คือ   เครือข่ายบริเวณกว้าง
3.อินเตอร์เน็ต   คือ  เครือข่ายขนาดใหญ๋

วันจันทร์ที่ 26 สิงหาคม พ.ศ. 2556

แบบฝึกหัดท้ายหน่วยการเรียนรู้ที่1
1.จงให้ความหมายของคำว่าเทคโนโลยีและคำสารสนเทศ
ตอบ :  เทคโนโลยี คือ การนำเอาความรู้ทางวิทยาศาสตร์มาประยุกต์เป็นระบบเพื่อใช้ปฏิบัติในการแก้ปัญหา  สารสนเทศ  คือ  ตัวเนื้อหาสาระของข้อมูลข่าวสาร  โดยใช้คอมพิวเตอร์ทำหน้าที่รวบรวม       จัดเก็บ  ปรับเปลี่ยนรูปแบบของสารสนเทศ และเทคโนโลยีโทรคมนาคม  เทคโนโลยีสารสนเทศจึงหมายถึง  เทคโนโลยีที่ใช้ระบบเครือข่ายคอมพิวเตอร์มาจัดการเกี่ยวกับสารสนเทศนั่นเอง

2.เทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารถึงอะไรตอบ :  หมายถึง Information  and  Communication  Technology   หรือ  ICT  เป็นการสื่อสารแบบไร้สายที่กำลังพัฒนาขึ้นอย่างรวดเร็ว


3.เทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารเกิดขึ้นได้อย่างไรตอบ :  เกิดจากการรวมตัวกันของเทคโนโลยี 2 ด้าน  คือ เทคโนโลยีโทรคมนาคมกับเทคโนโลยีคอมพิวเตอร์


4.เทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารมีความเป็นมาหรือพัฒนาการโดยย่ออย่างไรตอบ :  เนื่องจากเทคโนโลยีสารสนเทศพัฒนาบนพื้นฐานของระบบคอมพิวเตอร์ซึ่งกำลังเจริญขึ้นอย่างรวดเร็ว  อีกด้านหนึ่ง คือ เทคโนโลยีการสื่อสารโดยเฉพาะอย่างยิ่ง  การสื่อสารไร้สายก็กำลังพัฒนาขึ้นอย่างรวดเร็วเช่นกัน ทำให้เกิดการใช้งานในรูปแบบใหม่ๆ มากขึ้น โดยไม่ต้องอาศัยระบบคอมพิวเตอร์


5.ระบบปัญญาประดิษฐ์ (Artificial  Intelligence : AI ) หมายถึงอะไร  และมีส่วนประกอบที่สำคัญอย่างไรตอบ  :  เป็นหัวใจของการพัฒนาระบบคอมพิวเตอร์ในยุคนี้  โดยมุ่งหวังให้ระบบคอมพิวเตอร์สามารถวิเคราะห์ปัญหาอย่างเป็นเหตุเป็นผล ตามลักษณะของโปรแกรมส่วนประกอบ  1.ระบบหุ่นยนต์  หรือแขนกล                  2.ระบบประมวลภาษาพูด                  3.ระบบการรู้จำเสียงพูด                  4.ระบบผู้เชี่ยวชาญ


6.เทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารมีความสำคัญหรือมีประโยชน์อย่างไรตอบ : ความสำคัญต่อด้านพัฒนาประเทศอย่างมาก  เช่น1.ด้านวิชาการ ช่วยในการค้นคว้าศึกษาแหล่งข้อมูล2.การดำรงชีวิตประจำวัน ให้มีความสะดวกรวดเร็วในการทำกิจกรรม3.การดำเนินธุรกิจ  ทำให้มีการแข่งขันระหว่านธุรกิจมากขึ้น4.ด้านการติดต่อสื่อสาร  มีการติดต่อสื่อสารได้อย่างรวดเร็วและกว้างขวาง5.ด้านผลผลิต  เป็นเครื่องมือที่จะช่วยทำงานได้มากขึ้น ทำให้ข้อมูลข่าวสารสามารถเชื่อมโยงกันแบบเครือข่ายหรือใยแมงมุมได้ั่วทุกมุมโลกโดยใช้เทคโนโลยีคอมพิวเตอร์และเทคโนโลยีการสื่อสาร  เช่น  โทรศัพท์   ดาวเทียม  เป็นต้น


7. สารสนเทศที่ดีและมีประโยชน์ควรมีลักษณะอย่างไรตอบ  :  สารสนเทศที่ดีและมีประโยชน์ในการใช้งานควรมีลักษณะ  ดังนี้- ความสมบูรณ์ครอบคลุม-ความสัมพันธ์กับเรื่อง-ความถูกต้อง-ความเชื่อถือได้-การตรวจสอบได้


8.จงยกตัวอย่างเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารที่ใช้ในชีวิตประจำวันตอบ  :   คอมพิวเตอร์   โทรศัพท์     มือถือ     อินเตอร์เน็ต  หนังสือพิมพ์  วิทยุกระจายเสียง                 วิทยุโทรทัศน์    โทรสาร


9.จงอธิบายกระแสโลกาภิวัฒน์ของเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารในปัจจุบันตอบ :  ช่วยให้ความเป็นอยู่ในชีวิตประจำวันของเราสะดวกสบายมากขึ้นเมื่อเปรียบเทียบกับยุคก่อน   การเดินทางเพื่อติดต่อสื่อสารระหว่างกันสามารถทำได้ง่ายขึ้น  มีการนำเทคโนโลยีคอมพิวเตอร์เข้ามาใช้งานในทุกสาขาอาชีพ  เช่น  การสื่อสาร  การธนาคาร   การบิน  วิศวกรรม  สถาปัตยกรรม   การแพทย์การศึกษาหรือการเรียนการสอน  ซึ่งส่งผลให้วิทยาการต่างๆ  เจริญก้าวหน้าและทันสมัยอย่างรวดเร็ว


10.จงกล่าวถึงบทบาทของเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารทั้งในด้านประโยชน์และโทษที่มีต่อผู้ใช้และสังคมตอบ  :  ประโยชน์ต่อการพัฒนาสังคมในหลายด้าน-ช่วยให้ประชาชนมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นจากการสื่อสารที่รวดเร็วและก้าวไกล-ช่วยทำให้วิทยาการต่างๆ เจริญก้าวหน้าและทันสมัยอย่างรวดเร็ว-การรับรู้และแลกเปลี่ยนข้อมูลข่าวสารของโลกเป็นไปอย่างสะดวกรวดเร็ว-สามารถเข้าถึงคลังข้อมูลข่าวสารจำนวนมาก-สนับสนุนการทำงานและกระบวนการผลิต-ส่งเสริมระบบบริหารจัดการในรูปแบบใหม่ๆ-กระจายโอกาสทางการศึกษาให้ผู้เรียนที่อยู่ห่างไกล-สามารถเผยแพร่สาระสนเทศและภูมิปัญญาท้องถิ่นเข้าสู่สังคมโลกได้โดยง่าย-ช่วยให้เกิดนวัตกรรมใหม่ๆอย่างต่อเนื่อง

วันอาทิตย์ที่ 4 สิงหาคม พ.ศ. 2556

ให้นักศึกษาไปศึกษาการทำGadgetในบล็อกว่ามีอะไรบ้างให้เลือกทำมา1วิธีเเล้วให้คาบเรียนให้มาอธิบายสอนการทำGadgetหน้าห้องเรียนให้เพื่อนทำตาม




รูปภาพ (Picture) เป็นเครื่องมือของ Blogger อย่างนึ้งที่สามารถใส่ภาพของเราและใส่รายละเอียดเกี่ยวกับรูป พร้อมทั้งสามารถส่ง Link รูปภาพไปยัง Url ที่เราต้องการได้แบบง่ายๆเลยครับ ซึ่งสามารถปรับเปลี่ยนเป็น Banner ได้ง่ายๆเลยในส่วนของ Gadget รูปภาพ (Picture) ถือว่ามีการตั้งค่าที่ง่าย ประโยชน์หลายหลายเหลือเกินครับ เรามาดูวิธีการตั้งค่าเลยครับ

เมื่อทำการเพิ่ม Gadget รูปภาพ (Picture) แล้วก็จะมาสู่การตั้งค่าดังรูปเลยครับ
  1. ชื่อหัวข้อ
  2. คำอธิบายรูปภาพหรือข้อความอื่นๆ
  3. Url ที่ส่งไปเมื่อมีคนคลิ๊กที่รูปภาพครับ อาจจะเป็นชื่อเว็บหรือชื่อบล๊อกก็ได้
  4. รูปภาพที่แสดง สามารถอัพโหลดได้จากเครื่องของคุณได้เลย
เรามาดูตัวอย่างการใช้งานคร่าวๆไดดังรูปครับ




 Retrieved   from  :


           http://itoeblog.blogspot.com

วันพฤหัสบดีที่ 11 กรกฎาคม พ.ศ. 2556

ให้นักศึกษาเขียนระบบการสอนมา 1 วิชาในสาขาสังคมศึกษามา 1 ระบบตามหลัก  Input   Process   Output   ในเเต่ละองค์ประกอบให้นักศึกษาอธิบายรายละเอียดเเต่ละองค์ประกอบนั้นๆมาด้วย


วิชา   การเปลี่ยนเเปลงทางสังคมเเละวัฒนธรรม

 Input / ปัจจัยนำเข้า

1. ครู หรือ อาจารย์ผู้สอน
2. นักเรียน
3. เอกสารประกอบการเรียน
4. ตำรา เเละ หนังสือเรียน
5. สื่อประกอบการสอน เช่น  ภาพ, วิดีโอ, Power point  เป็นต้น
6. กิจกรรมระหว่างเรียน

Process / กระบวนการ

1. เเจกโครงการสอนในรายวิชาในนักเรียน
2. อธิบายโครงการสอนในรายวิชา
3. อธิบายวัตถุประสงค์การเรียนรู้ในรายวิชา
4. ทำกิจกรรมระหว่างเรียน
5. การสอน  การบรรยาย  เเละอธิบายเนื้อหาของรายวิชา
6. การให้ผู้เรียนได้ศึกษาหาความรู้เพิ่มเติมนอกเนื้อจากเอกสารที่นำมาเเจกให้นักเรียนเเละการเรียนการสอนในชั้นเรียน
7. มอบหมายภาระงานให้ผู้เรียน
     - งานเดี่ยว
     - งานกลุ่ม
8. การสอบวัดผลการเรียนรู้
    - สอบกลางภาค
    - สอบปลายภาค
9. ประเมินผลการเรียนของนักเรียน
     - ผ่านเกณฑ์
     - ไม่ผ่านเกณฑ์

 Output / ผลลัพธ์

1. ผู้เรียนมีความรู้ความเข้าใจลำดับขั้นของสภาพการเปลี่ยนเเปลงทางสังคมเเละวัฒนธรรม
2. ผู้เรียนมีความรู้ความเข้าใจผลจากการได้รับอิทธิพลของกระเเสโลกาภิวัฒน์ที่เเผ่ขยายมาจากซีกโลกตะวันตก
3. ผู้เรียนสามารถอธิบายการเปลี่ยนเเปลงทางสังคมเเละวัฒนธรรมไทยให้ถูกต้อง
4. ผู้เรียนสามารถอธิบายผลจากการได้รับอิทธิพลของกระเเสโลกาภิวัฒน์ที่เเผ่ขยายมาจากซีกโลกตะวันตกต่อสังคมเเละวัฒนธรรมไทยได้
5. ผู้เรียนต้องปฏิบัติเเละมีพฤติกรรมที่สอดคล้องกับการเปลี่ยนเเปลงทางสังคมเเละวัฒนธรรมไทยได้เหมาะสม
6. ผู้เรียนสามารถนำความรู้ไปประยุกต์ใช้ได้
7. ผลสอบวัดผลการเรียนรู้ของผู้เรียนเเต่ละบุคคล

Retrieved   from  :


         http://www.bsru.ac.th/study/pdf/Global.pdf  (นำมาเป็นเเนวทางในการศึกษาหาข้อมูล)

การผลิตน้ำตาลทรายจัดว่าเป็น System หรือไม่ ?ถ้าเป็น  จงบอกองค์ประกอบของระบบการผลิตน้ำตาลทรายตามระบบ  Input   Process   Output   มาโดยละเอียด

ตอบ    เป็น   เพราะการผลิตน้ำตาลทรายจัดเป็นSystemระบบหนึ่ง

 Input

1.
กระบวนการสกัดน้ำอ้อย (Juice Extraction) :
ทำการสกัดน้ำอ้อยโดยผ่านอ้อยเข้าไปในชุดลูกหีบ (4-5 ชุด) และกากอ้อยที่ผ่านการสกัดน้ำอ้อยจากลูกหีบชุดสุดท้าย จะถูกนำไปเป็นเชื้อเพลิงเผาไหม้ภายในเตาหม้อไอน้ำ เพื่อผลิตไอน้ำมาใช้ในกระบวนการผลิต และน้ำตาลทราย
2.
การทำความสะอาด หรือทำใสน้ำอ้อย
(Juice Purification) :
น้ำอ้อยที่สกัดได้ทั้งหมดจะเข้าสู่กระบวนการทำใส เนื่องจากน้ำอ้อยมีสิ่งสกปรกต่าง ๆ จึงต้องแยกเอาส่วนเหล่านี้ออกโดยผ่านวิธีทางกล เช่น ผ่านเครื่องกรองต่าง ๆ และวิธีทางเคมี เช่น โดยให้ความร้อน และผสมปูนขาว
3.
การต้ม (Evaporation) :
น้ำอ้อยที่ผ่านการทำใสแล้วจะถูกนำเข้าสู่ชุดหม้อต้ม (Multiple Evaporator) เพื่อระเหยเอาน้ำออก(ประมาณ 70 %) โดยน้ำอ้อยข้นที่ออกมาจากหม้อต้มลูกสุดท้าย เรียกว่า น้ำเชื่อม (Syrup)
4.
การเคี่ยว (Crystallization) :
น้ำเชื่อมที่ได้จากการต้มจะถูกนำเข้าหม้อเคี่ยวระบบสุญญากาศ (Vacuum Pan) เพื่อระเหยน้ำออกจนน้ำออกจนน้ำเชื่อมถึงจุดอิ่มตัว ที่จุดนี้ผลึกน้ำตาลจะเกิดขึ้นมา โดยที่ผลึกน้ำตาล และกากน้ำตาลที่ได้จากการเคี่ยวนี้รวมเรียกว่า แมสิควิท (Messecuite)
5.
การปั่นแยกผลึกน้ำตาล (Centrifugaling) :
แมสิควิทที่ได้จากการเคี่ยวจะถูกนำไปปั่นแยกผลึกน้ำตาลออกจาก กากน้ำตาล โดยใช้เครื่องปั่น (Centrifugals) ผลึกน้ำตาลที่ได้นี้จะเป็นน้ำตาลดิบ

Process

1.
การปั่นละลาย (Affinated Centrifugaling) :
นำน้ำตาลดิบมาผสมกับน้ำร้อน หรือน้ำเหลืองจากการปั่นละลาย (Green Molasses) น้ำตาลดิบที่ผสมนี้เรียกว่า แมกม่า (Magma) และแมกม่านี้จะถูกนำไปปั่นละลายเพื่อล้างคราบน้ำเหลือง หรือกากน้ำตาลออก
2.
การทำความสะอาด และฟอกสี (Clarification) :
น้ำเชื่อมที่ได้จากหม้อปั่นละลาย (Affinated Syrup) จะถูกนำไปละลายอีกครั้งเพื่อละลายผลึกน้ำตาลบางส่วนที่ยังละลายไม่หมดจากการปั่น และผ่านตะแกรงกรองเข้าผสมกับปูนขาว เข้าฟอกสีโดยผ่านเข้าไปในหม้อฟอก (ปัจจุบันนิยมใช้ก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์เป็นตัวฟอก) จากนั้นจะผ่านเข้าสู่การกรองโดยหม้อกรองแบบใช้แรงดัน (Pressure Filter) เพื่อแยกตะกอนออก และน้ำเชื่อมที่ได้จะผ่านไปฟอกเป็นครั้งสุดท้ายโดยกระบวนการแลกเปลี่ยนประจุ (Ion Exchange Resin) จะได้นำเชื่อมรีไฟน์ (Fine Liquor)
3.
การเคี่ยว (Crystallization) :
น้ำเชื่อมรีไฟน์ที่ได้จะถูกนำเข้าหม้อเคี่ยวระบบสูญญากาศ (Vacuum Pan) เพื่อระเหยน้ำออกจนน้ำเชื่อมถึงจุดอิ่มตัว
4.
การปั่นแยกผลึกน้ำตาล (Centrifugaling) :
แมสิควิทที่ได้จากการเคี่ยวจะถูกนำไปปั่นแยกผลึกน้ำตาลออกจากกากน้ำตาล โดยใช้เครื่องปั่น (Centrifugals) ผลึกน้ำตาลที่ได้นี้จะเป็น น้ำตาลรีไฟน์ และน้ำตาลทรายขาว
5.
การอบ (Drying) :
ผลึกน้ำตาลรีไฟน์ และน้ำตาลทรายขาวที่ได้จากการปั่นก็จะเข้าหม้ออบ (Dryer) เพื่อไล่ความชื้นออก แล้วบรรจุกระสอบเพื่อจำหน่าย

Output   

       สิ่งที่ได้  คือ

1. น้ำตาลทราย
2. กากน้ำตาล
3. ชานอ้อย




 Retrieved   from  :


            http://www.mitrphol.com/

เฉลยคำตอบ ครั้งที่ 2

ปัจจัยนำเข้า

- โรงงานน้ำตาล
- เครื่องจักร
- วัตถุดิบ
- เเรงงาน
- เงินทุน

กระบวนการ

- การสกัดน้ำอ้อย
- การทำความสะอาดน้ำอ้อย
- การต้มให้ได้น้ำเชื่อม
- การเคี่ยวให้เป็นผลึกเเละกาก
- การปั่นเเยกผลึกน้ำตาล
- การอบ
- การบรรจุถุง

ผลลัพธ์

- น้ำตาลทราย
- กากน้ำตาล
- ชานอ้อย




วันพุธที่ 12 มิถุนายน พ.ศ. 2556

1. Smartphone   คืออะไร    เเละมีประโยชน์อย่างไรบ้างบอกมา   5  ประการ

            Smartphone    คือ   เป็นโทรศัพท์มือถือหรือคอมพิวเตอร์ชนิดหนึ่งที่ที่รับรองรับปฏิบัติการต่างๆได้เสมือนยกเอาคุณสมบัติที่  PDA  เเละคอมพิวเตอร์มาไว้ในโทรศัพท์  เช่น  ios  (ที่ลงในมือถือรุ่น  Iphone)  ที่มาพร้อมกับความสามารถในการเชื่อมต่อเครือข่ายไร้สายหรืออินเตอร์เน็ตความเร็วสูงผ่านระบบเครือข่ายโทรศัพท์ในระบบ  3G  นั้นเองที่มีความเร็วมากพอในการเล่นเน็ต  การค้นหาข้อมูล  การดาวโหลดเเอพ  เกมส์  เเละเล่นเครือข่ายทางสังคมอื่นๆ  เช่น   Facebook   Google   เป็นต้น

            ประโยชน์ของSmartphon
1.  ถ่ายรูป
2.  เเอพเเต่งรูป
3.  ดูหนัง / ฟังเพลง
4.  อ่าน / เขียน / เเก้ไข ไฟล์เอกสาร
5.  เเชท   เช่น    Facebook    Twiter

Retrieved   from  :

               http://www.mindphp.com
               https://sites.google.com/site/itapiwat314/-sma-rth-fon-smart-phone
               http://www.lgmobilelover.com/home/10-utility-from-smart-android/

2. Android   คืออะไร    ปกติจะพบสิ่งนี้ที่ไหน

         Android    คือ   เป็นระบบปฏิบัติการสำหรับอุปกรณ์พกพาพา   เช่น   โทรศัพท์มือถือ    แท็บเล็ตคอมพิวเตอร์    เน็ตบุ๊ก    ทำงานบนลินุกซ์ เคอร์เนล    เริ่มพัฒนาโดยบริษัทแอนดรอยด์                       จากนั้นบริษัทแอนดรอยด์ถูกซื้อโดยกูเกิลและนำแอนดรอยด์ไปพัฒนาต่อ ภายหลังถูกพัฒนาในนามของ Open Handset Allianceทางกูเกิลได้เปิดให้นักพัฒนาสามารถแก้ไขโค้ดต่างๆด้วยภาษาจาวา  และควบคุมอุปกรณ์ผ่านทางชุด Java libraries ที่กูเกิลพัฒนาขึ้น

            ปกติจะพบได้ที่ :  มือถือระบบ Android   

                                    - Aapple

                                    - Samesung  

                                    - smartphon


Retrieved   from  :

            http://th.wikipedia.org/wiki


3. Cyber  Bully    หมายถึงอะไร    อธิบายมา  1  ย่อหน้าไม่ต่ำกว่า  10  บรรทัด   

           Cyberbullying   คือ  การรังแกกันผ่านโลกไซเบอร์ระหว่างเด็กกระทำต่อเด็กด้วยกัน โดยรูปแบบการรังแกกันมีทั้งการใส่ร้ายป้ายสี การใช้ถ้อยคำหยาบคายต่อว่าผู้อื่น หรือการส่งต่อข้อมูลลับเพื่อทำให้ผู้อื่นเสียหายผ่านทางอินเตอร์เน็ต หรือแม้แต่การส่งข้อความผ่านโทรศัพท์มือถือ โดยการรังแกกันจะต้องมีความต่อเนื่อง และทำให้ฝ่ายที่ถูกกระทำรู้สึกเจ็บปวดหรือได้รับผลกระทบทางจิตใจ

Cyberbullying เป็นความรุนแรงที่ไม่ทราบว่าใครเป็นผู้กระทำ ซึ่งสามารถทำความรุนแรงกับใคร ที่ไหน หรือเมื่อไรก็ได้ และผู้กระทำก็สามารถจะตอกย้ำความรุนแรงอย่างต่อเนื่อง โดยที่สักวันหนึ่งเหยื่อที่เคยถูกกระทำ ก็อาจกลับมาเป็นผู้กระทำความรุนแรงเองเพื่อแก้แค้น เป็นวงจรความรุนแรงที่ไม่มีจุดจบ ด้วยเห็นว่าเรื่องเหล่านี้เป็นเรื่องธรรมดาที่ใครๆ เขาก็ทำกัน ซึ่งผลกระทบก็คือความรุนแรงและบาดแผลที่เกาะกินในจิตใจของเด็กๆ

นอกจากนั้นนักเลงไซเบอร์อาจจะส่งข้อความให้ร้ายไปยังผู้อื่น หรือเขียนคอมเมนต์ในเว็บไซต์หรือบล็อกที่เป็นการต่อว่า การประทุษร้ายซ้ำๆ หลายครั้งแม้จะดูเป็นบาดแผลที่ห่างไกลหัวใจจนไม่น่าใส่ใจสำหรับผู้ใหญ่ แต่สำหรับเด็กหรือวัยรุ่นถือเป็นการทำร้ายที่รุนแรงมาก ส่งผลให้รู้สึกซึมเศร้า, หงุดหงิดอาละวาด, และทำร้ายตัวเองจากอารมณ์หุนหันพลันแล่นได้

จากการสำรวจเด็กในกรุงเทพฯ และปริมณฑล พบว่า มีเด็กถึง 48% ที่อยู่ในวงจร Cyberbullying โดยอาจเป็นทั้งผู้กระทำ เหยื่อ และผู้เฝ้าดูหรือส่งต่อข้อมูลไปยังกลุ่มอื่นๆ ซึ่งเด็กส่วนใหญ่ที่อยู่ในวงจรนี้จะอยู่ในชั้นมัธยมต้น โดยเวลาที่ใช้ในการ Cyberbullying คือ ช่วง 6 โมงเย็น – 3 ทุ่ม ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่เด็กๆ ทำการบ้านและใช้อินเตอร์เน็ต


 Retrieved   from  :

           http://healthkm.exteen.com/20101006/cyberbullying

           http://www.healthygamer.net/information/article/9874